แพคกระเป๋ากับกล้องหนึ่งตัว มุ่งสู่....ดินแดนแห่งภูเขาและหมอก "แม่ฮ่องสอน"


   (ภาพถ่ายโดย Paramet Klinpayom แม่ฮ่องสอน)
  
กราบสวัสดีท่านผู้อ่านทุกท่าน ยินดีต้อนรับสู่บล็อกของผม ในช่วงที่ผ่านมาบล็อกของผมอาจจะเต็มไปด้วยเรื่องส่วนตัวเกินมากไปนิด ไม่ได้ทำตามคอนเซ็ปของตัวเองสักที

วันนี้มีโอกาสว่างที่ได้เขียนบล็อกเรื่องนี้ขึ้นมารีวิวและแนะนำการเที่ยวในภาคเหนือ และจังหวัดที่ผมเลือกไปมาเมื่อต้นปีก็คือ จังหวัดแม่ฮ่องสอน นั่นคือปลายทางใหญ่ของเราในทริปนั้น
วันนี้เป็นวันฝึกงานช่างภาพของผมกับ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท) ขณะนี้ก็นั่งพิมบล็อกอยู่ที่ ททท เช่นกัน (ว่างจริงๆครับ)
 แต่ทริปนี้ไม่ใช่การไปภาคเหนือครั้งแรกของผมเสียแล้ว เพราะผมได้ไปเปิดซิงที่ลำปางแบบคนเดียวมาก่อนหน้านี้แล้ว

ทริปนี้ผู้กำหนดเส้นทางการท่องเที่ยวคือ เพื่อนสนิทคนนึงและมีเพื่อนสนิทอีกคนไปด้วยกัน ทั้งคู่เป็นคนอีสาน เรียนอยู่ภาคนิเทศศิลป์ด้วยกัน แต่คนนำทริปเป็นเด็กภาพยนตร์ หลังปิดเทอมเล็ก ต้องบอกว่าเล็กมากจริงๆ เพราะเหมือนไม่ได้ปิด ผมปิดพอดีสิ้นเดือนก็ได้หยุดในช่วงปีใหม่เหมือนคนทั่วๆไป ผมเลยใช้โอกาสตรงนี้ไปเที่ยวเหนือกันเสียเลย แต่คนก็ต้องเยอะแน่นอน ก็แหงล่ะครับ ททท เองสนับสนุนโฆษณาเต็มที่ ว่าให้คนไทยหันมาอุดหนุนหรือเที่ยวไทยกันเอง นับว่าเป็นคอนเซ็ปหลักของ ททท เลยก็ว่าได้ แต่คนออกมาเที่ยวกันในช่วงเทศกาลกันจนเยอะมาก เรียกว่าทำอย่างไรก็ได้ให้คนไทยหันมาเที่ยวไทยกันเยอะๆ การท่องเที่ยวบ้านเราจะได้ดีขึ้นๆ คนเยอะขึ้นทุกปีและที่ฮิตท็อปเทนนั่นก็คือภาคเหนือ

ในช่วงหน้าหนาว ต้องยอมรับว่าปีนี้ก็หนาวใช้ได้เหมือนกัน แม้แต่ในกรุงเทพก็หนาวครับ ก็เลยกำหนดวันเวลาทริปนี้หลังจากปีใหม่สักหนึ่งอาทิตย์ เพราะจำนวนคนจะได้ลดลง
ทริปนี้ไม่ยาก แต่เต็มไปด้วยความน่าตื่นเต้น เราประหยัดค่าเดินทางค่าที่พักแต่ไม่ค่อยประหยัดค่ากินเท่าไหร่ ฮ่าๆ วันแรกเราประเดิมการนั่งรถไฟฟรี!! สายเหนือ คนเยอะเป็นช่วงๆเท่านั้นครับ แต่จะนานหน่อย ต้องทนข้ามวันกว่าจะถึงเชียงใหม่ จะไปเยอะในช่วงเย็นๆของวัน ประมาณช่วงอยุธยาครับ (จริงๆแล้วสายใต้โหดกว่านี้ครับ จากคำบอกเล่าของผู้นำทริป)
และนี่คือครั้งแรกของการนั่งรถไฟที่ยาวนานมากในชีวิตผม เราออกจากกรุงเทพบ่ายกว่าๆ ไปถึงเชียงใหม่อีกที ตีหน้าของอีกวัน ลงสถานีรถไฟนั่งดื่มกาแฟกันก่อนจะหาที่พัก สุดท้ายก็เรามาได้ที่พักตรงหน้า สถานที่รถไฟนี่เองครับ อาบน้ำพักผ่อนและเที่ยวในตัวเมืองเชียงใหม่กันก่อน พวกเราสามคนก็ตื่นมาอีกที 9 โมง ฟ้าครึ้มไปด้วยเมฆหนาๆ อากาศดีมาก เราเดินสำรวจตัวเมืองเชียงใหม่ และไปทำการจองตั๋วไปยังจังหวัดแม่ฮ่องสอน และนั่งกินพิซซ่าในร้านหรูๆที่ห้างเซนทรัล(บอกแล้ว ว่าไม่ประหยัดค่ากิน)

   
จากนั้นก็นั่งสองแถวกลับมายังที่พัก เพื่อเตรียมตัวออกเดินทางไปจังหวัดแม่ฮ่องสอนในช่วงกลางคืน การเดินทางในกลางคืนจะเป็นการประหยัดค่าที่พัก ก็คือนอนบนรถ แถมไม่เสียเวลาเที่ยวอีกด้วย
แต่! เรามักจะเคยได้ยินกันมาบ่อย เวลาคนจะมาเที่ยวแม่ฮ่องสอนจะต้องพิชิตโค้งเป็นพันๆโค้ง
แล้วสำหรับคนเมารถอย่างผม ตายแน่ๆ หน้าตาของรถเมล์สภาพเก่าแก่ ที่ดูเหมือนมีแต่ชาวบ้านนั่งกัน ไม่รู้ว่าจะฝากชะตาไว้กับมันได้หรือเปล่า เบาะนั่งยากมาก นอนก็ไม่ได้ แผนที่เราจะนอนบนรถเพื่อไม่เสียค่าพักจบลงแล้วสินะ แต่ก็ต้องอดทนต่อไป

รถวิ่งไปเรื่อยๆจนถึงอำเภอนึงในตัวแม่ฮ่องสอน แต่ยังไม่ถึงแม่ฮ่องสอนจริงๆ(ขออภัยจำไม่ได้ว่าอำเภออะไร)   ซึ่งเส้นทางจากเชียงใหม่ไปแม่ฮ่องสอน จะมีสองเส้นทางคือ เชียงใหม่-แม่สะเรียง-แม่ฮ่องสอน 1,864 โค้ง กับ เชียงใหม่-ปาย-แม่ฮ่องสอน 2,224 โค้ง เรามาถึงอำเภอนึงซึ่งอยู่ๆมีรถบรรทุกคว่ำขวางทางการจราจร ทำให้ไม่สามารถไปต่อได้ จนเราจะต้องรออออ กันเป็นชั่วโมง นับแล้วราว 5 ชั่วโมง ผมติดแหงกอยู่ที่นั่น แต่ก็มาถึงตัวแม่ฮ่องสอนได้สำเร็จ ในเวลาเช้า 8 โมง ขอบอกเลยว่าพี่คนขับชำนาญทาง และขับรถดีมากๆ ถึงแม้รถจะดูไม่ค่อยดีก็ตาม

  สุดท้ายเรามาถึงปลายทางจังหวัดแม่ฮ่องสอนได้อย่างปลอดภัย ผมเจอแจคพ็อตเมารถช่วงก่อนถึงแม่ฮ่องสอนจังหวะหนึ่ง ทรมานสุดๆ จะอาเจียนให้ได้เลยครับ(ขนาดเป็นรถเมล์พัดลม) มาถึงขนส่งแม่ฮ่องสอนในที่สุด ขนส่งที่นี่น่ารักมาก เล็กๆ รถไม่เยอะ แตกต่างจากที่ผมคาดไว้ (เนื่องด้วยการเดินทางเข้าจังหวัดที่ดูจะยากลำบาก) นอกจากการเดินทางด้วยล้อแล้ว คงต้องพึ่งเครื่องบินถ้าหากจะมาที่นี่ ซึ่งค่าตั๋วก็ไม่ได้ถูกอะไรมาก (ขอแนะนำให้นั่งรถดีกว่าครับ จะได้สัมผัสและได้เป็นผู้พิชิตโค้งด้วยนะ)

 ที่ขนส่งแม่ฮ่องสอนจะไม่ได้อยู่ใกล้กับตัวเมืองโดยสิ้นเชิงเท่าไหร่ครับ จะออกมานิดนึง พวกผมทำการเดินไปยังจุดเช่ามอเตอร์ไซต์ จากที่ทราบมา ในตัวแม่ฮ่องสอนมีให้เช่ารถมอเตอร์ไซต์ประมาณ 2-4 แห่งได้ครับ(ขออภัยหากข้อมูลผิด) ผมก็จะเลือกร้านที่ให้เช่าในราคาที่ถูกที่สุด ซึ่งรถส่วนใหญ่ก็มี Click กับ Dream เราเช่าสองคัน ส่วนผมต้องขี่คนเดียวเพราะน้ำหนักเยอะมาก

เป้าหมายปลายทางของเรา ที่จะขี่รถไปกันนั้น คือ หมู่บ้านรักไทย ซึ่งจะอยู่ใกล้กับปางอุ๋ง นี่คือปลายทางหลักๆที่เราได้กำหนดเอาไว้ในทริปนี้ หัวหน้าผู้นำทริปได้ศึกษาเส้นทางกันมาเป็นอย่างดี เราขี่รถมอเตอร์ไซต์จากตัวเมืองออกไปประมาณ 20 กิโล ก่อนจะถึงช่วงที่จะต้องขึ้นเขา เส้นทางขึ้นหากท่านนึกภาพไม่ออกให้นึกถึงเส้นทางขึ้นเขาใหญ่ อาจจะชันกว่านิดหน่อย ซึ่งยากลำบากในการขี่รถมอเตอร์ไซต์ขึ้นไปมาก ภาพในหัวผมตอนนั้น ผมไม่คิดว่าเราจะขึ้นไปได้แน่ๆ ที่หนักไปกว่านั้น ดันมีฝนตกลงมา!!


   (ทางขึ้น ปางอุ๋ง ถ่ายโดย Kan Pothipan)
แต่พวกเราไม่ได้ทำท่าทางถึงความซวยอะไรเลย ทุกคนมีสีหน้าที่ฮา สนุกสนาน ซึ่งผมก็อยากให้ท่านที่จะไปแบบนี้ ตรวจสอบสภาพอากาศของวันนั้นด้วยก็ดีนะครับ การขี่มอเตอร์ไซต์ขึ้นเขาในขณะที่มีฝนตกลงมาค่อนข้างอันตราย และที่พวกผมได้ประสบคือเป็นฝนที่ตกหนักตลอดเวลา ทำให้มองเส้นทางลำบาก เห็นเป็นสีขาวเต็มไปหมด

พวกเราก็ยังคงขี่ต่อไป ระยะทางที่ดูจะไม่ไกลแต่เมื่อมาใช้นับกับความโค้งของภูเขาแล้ว จะทำให้เราคิดว่ามันไกลกว่าที่คิดมาก สุดท้ายเราก็ถึงจุดหมายของเรา นั่นคือ หมู่บ้านรักไทย (ในขณะเดินทางขึ้นมาจะมีป้ายคอยบอกสถานที่ต่างๆ และบอกระยะทางไว้ด้วยครับ)


หมู่บ้านนี้เป็นหมู่บ้านชาวจีนยูนาน อดีตทหารจีน ซึ่งหมู่บ้านนี้เป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจมาก เงียบสงบ สวย และเขายังนิยมปลูกชากัน อาจจะเป็นเพราะสภาพอากาศที่เหมาะสม ผู้คนที่นี่ดูน่ารัก ผมขี่รถมาถึงที่นี่ด้วยความเปียกปอนด์ แล้วขี่เข้ามาในตัวหมู่บ้านอีกฝั่งนึงและหาที่พัก เราได้พักกับคนลุงท่านนึง วิวที่พักลุงแกสวย และลุงก็ใจดีมากๆ พวกผมมาถึงที่นี่ด้วยความหิว เราสั่งข้าวมากินมาหน้าห้องพัก ข้างหน้าเป็นวิวสวย มีซุ้มนั่งเล่นอยู่ มีเม็ดฝนเบาๆกำลังดี และยังมีลมหนาวพัดมาไม่ขาดสาย เรานั่งสัมผัสความหนาวกันอย่างเย็นใจเลยทีเดียว

 ตกค่ำก็ได้เห็นแสงสีของที่นี่ สวยงามเช่นกันครับ ทุกคนก็หยิบกล้องขึ้นมาถ่ายรูปกัน 
(จุดประสงค์ของทริปนี้ คือการหาความสุขกับธรรมชาติล้วนๆครับ) 



ผมเองก็เพิ่งได้ทราบว่าหมู่บ้านรักไทย เป็นอย่างไร เพิ่งได้ทราบว่ามีหมู่บ้านนี้อยู่ห่างออกมาจากปางอุ๋งไม่ไกลนี่เอง หากใครจะมาปางอุ๋งล่ะก็ อยากหาที่สงบๆบรรยากาศแนะนำที่นี่ครับ ซึ่งทุกคนจะเห็นป้ายมาตลอดทางแน่นอน 
สำหรับผู้ใดสนใจจะมาโดยไม่อยากขี่มอเตอร์ไซต์ หรือไม่อยากขับรถยนต์ส่วนตัวมา เขาจะมีรถโดยสาร สองแถวสีเหลือง รับส่งจากแม่ฮ่องสอนมาหมู่บ้านรักไทย ด้วยนะครับ 


เราได้แอบซื้อเบียร์ติดมาด้วย มานั่งดื่มกับบรรยากาศดีๆ แต่เริ่มรู้สึกว่ายิ่งดึกยิ่งหนาวครับ เราเลยขอฟืนเพื่อก่อไฟ ลุงก็หามาให้เราเลยน่ารักมาก นอกจากเราจะก่อไฟแก้หนาว เจ้ากองไฟนี้ยังมีประโยชน์กับเสื้อผ้าที่พวกเราได้โดนฝนกระหน่ำใส่ ให้กลับมาแห้งอีกครั้ง พวกเราอยู่ถึงจนดึกและนอนพักหนึ่งคืน เป็นคืนที่ผมแทบไม่ได้ฝันเลย เหมือนได้พักผ่อนเต็มที่เลยทีเดียว (เพื่อนบอกว่าผมกรนชิบหายวายป่วงเลย) 

เราตื่นกันมาตอนตีห้า เกือบหกโมง มานั่งรอดูบรรยกาศดีๆในช่วงเช้า ที่นี่เต็มไปด้วยหมอกพัดปลิวไปมา ในตอนเช้าๆ ปกคลุมจนแดดส่องเข้ามาไม่ได้ เราได้ไปหาที่ทานข้าวเช้า (ใช้คำทางการนิดนึง) มีที่ขายข้าวต้มอร่อยๆข้างๆที่พัก 
และรอสักพักจะมีแดดอ่อนๆส่องลงมา บรรยกาศมันน่านั่งสมาธิเหลือเกิน ...


   (ภาพถ่ายโดย Paramet Klinpayom บรรยากาศหมู่บ้านรักไทยในตอนเช้าตรู่)
 ก่อนอื่นต้องขอบอกก่อนว่า ผมพก D7100+18-200 ไป เบาและสะดวกเวลาถ่าย ซึ่งไม่ใช่กล้องโปร ผมเองก็ไม่ได้โปร เราไม่ได้เน้นคุณภาพ แค่เพียงอยากเก็บภาพสวยๆเอาไว้ดูครับ หากมีช่างภาพอุปกรณ์เข้ามา แล้วขิงอุปกรณ์หรืออะไรต่างๆ เชิญครับ ผมไม่ใช่พวกคุณ
  
เพื่อนผมสองคนก็เดินถ่ายภาพทั่วหมู่บ้าน ต่างคนต่างเดินหายไป ผมก็ตามไม่ทัน แต่ก็มีความสุขครับ ต่างคนต่างไปตามที่ตัวเองอยากเดิน ผมทำการเดินศึกษาหมู่บ้านว่าเขาเป็นอยู่กันอย่างไร 






ก็เพิ่งได้ทราบว่าหมู่บ้านนี้มีโรงเรียน มีมุมสวยๆ มีวัฒนธรรมดั้งเดิมที่ถึงแม้จะมาอยู่ในเมืองไทยก็ตาม แต่ยังมีให้เห็นอยู่ อย่างเช่นวิถีชีวิต การกิน สิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ ยังดูเป็นจีน ซึ่งบางจุดผมนี่ก็นึกว่าอยู่ประเทศจีนนะเนี่ย 


ตามกำหนดทริปของเรา คือเราจะต้องออกจากที่นี่แต่เช้า เพื่อไปชมบรรยากาศยามเช้าที่ปางอุ๋ง แต่! พวกเราได้ตระหนักกันแล้วว่า ปางอุ๋งสวยๆเราคงได้เห็นช่างภาพเก่งๆ ถ่ายสวยๆ มาให้เราเห็นตามกลุ่มเฟซบุ๊ค ตามพันทิพเยอะแยะแล้วแหล่ะ การจะไปเห็นด้วยตาตัวเอง ไปสายๆก็ได้ เราเลยตัดสินใจรับชมบรรยากาศที่หมู่บ้านรักไทยนี่แหละ บรรยากาศก็สวยไม่แพ้กัน แถมผมคิดว่าที่นี่ได้ใจผมไปเต็มๆ 

เราดื่มด่ำกับบรรยกาศที่นี่จนถึงช่วงแปดโมง แล้วเราก็ได้เตรียมตัวออกเดินทางต่อไปที่ ปางอุ๋ง

(ปางอุ๋ง ภาพถ่ายโดย Paramet Klinpayom) 

ปางอุ๋ง หรือ โครงการพระราชดำริปางตอง 2  ก็เป็นที่แห่งหนึ่งที่สวยมาก ตามที่ผมได้เห็นจากภาพ ซึ่งในบางเว็บไซต์ก็ได้เขียนรีวิวสถานที่ท่องเที่ยว ก็มักเอาประเทศไทยเราไปเปรียบกับที่นั่นที่นี่ เมาดีฟเอย สวิซแลนด์เอย ซึ่งหลายคนบอกว่าที่นี่คือ สวิซแลนด์เมืองไทย ผมเข้าใจว่า เป็นการโฆษณาให้คนมาเที่ยวไทยกันเอง แต่ผมว่ามันต่างกัน ทั้งหลายๆอย่าง สภาพอากาศก็ไม่ได้เหมือนกันเป๊ะ พันธุ์ไม้ วิถีชีวิต ที่นี่คือประเทศไทยครับ ไทยก็คือไทย เรามักจะมีดีของเราเอง

พวกเราขี่รถมอเตอร์ไซต์จากหมู่บ้านรักไทย มาถึงปางอุ๋งไม่ได้ไกลมาก ขึ้นเขาอีกนิดๆหน่อยๆ ก่อนเข้าถึงปางอุ๋ง จะเจอกับอีกหมู่บ้านนึง ก็คือหากใครจะเข้าปางอุ๋ง ก็ต้องผ่านหมู่บ้าน เราไปถึงปางอุ๋งในช่วงสายๆ ที่นี่สวยใช่เล่น 

    ( ภาพถ่ายโดย  Kan Pothipan) 

เราพักทานข้าวกันที่ ปางอุ๋ง และทำการเดินเล่นรอบๆ จุดประสงค์เพื่อตามรอยภาพยนตร์ของไอ้คนเสื้อแดงคนนั้น 
ในทริปนี้ต้องขออภัยที่ถ่ายภาพมาฝากกันได้ไม่สวย เอาไว้ครั้งหน้าจะตั้งใจถ่ายให้สวยๆเลยครับ 
เราเที่ยวที่นี่กันสักพัก ถ่ายรูปเล่นกันจนพอใจ และตัดสินใจเดินทางกลับไปยัง เมืองแม่ฮ่องสอน และหาที่พักอยู่เที่ยวที่ตัวเมือง แม่ฮ่องสอนกันอีกหนึ่งคืน ก็ได้ที่พักที่นึง ค่อนข้างดีและราคาไม่แพงมากจนเกินไป ค่าห้องที่แพงที่สุดก็คงจะเป็นที่เชียงใหม่

พวกผมได้พักอยู่ในตัวเมือง และตระเวณหาที่กินที่เที่ยวกันต่อไป ในช่วงเย็นๆเราก็ได้ขี่มอเตอร์ไซต์ขึ้นไปบนเขาที่สามารถมองลงมาเห็นตัวเมืองทั้งหมดของจังหวัดแม่ฮ่องสอน และสถานที่บนนั้นคือ พระธาตุดอยกองมู สถานที่ศักสิทธิ์และสำคัญของชาวแม่ฮ่องสอนอีกที่นึง


   (ภาพถ่ายโดย Paramet Klinpayom พระธาตุดอยกองมู)

บนนั้นจะมีการทำบุญหลายๆอย่าง และยังมีจุดชมวิวสวยๆ มองไปรอบๆตัวเมืองแม่ฮ่องสอนอีกด้วย สำหรับใครจะมาจังหวัด แล้วไม่ขึ้นมาที่นี่ ถือว่าพลาดมากๆครับ

   (ภาพถ่ายโดย Paramet Klinpayom พระธาตุดอยกองมู)


  (ภาพถ่ายโดย Paramet Klinpayom จุดชมวิว เมืองแม่ฮ่องสอน)

  สำหรับใครที่อ่านแล้วอย่าเพิ่งเบื่อนะครับ เรายังมีอะไรที่น่าสนใจอีก

ตรงนี้มีประเด็นอยู่อีกเรื่องครับ สำหรับ ทริปถ่ายรูป เดี๋ยวนี้เรามักเห็นคนจัดทริปสำหรับเพื่อไปถ่ายรูปกันเยอะแยะมาก การมีทริปถ่ายรูปผมว่ามันก็เป็นทริปที่น่าสนใจ แต่ส่วนใหญ่ที่ผมได้ประสบพบเจอมาจริงๆ คือ เวลาไปเจอช็อตตรงไหนสวยๆ เขาก็จะกรูกันเข้าไปถ่ายเป็นสิบยี่สิบคน บนพระธาตุดอยกองมู มีทริปถ่ายภาพอยู่ทริปนึง ตกแล้วสิบ ยี่สิบคน มีเณรอยู่สองรูป ผมคิดว่าเขาน่าจะมาเที่ยวเหมือนกันเรานี่แหละ เณรสองรูปนั้นก็ได้ไปนั่งอยู่ที่จุดชมวิว ไอ้แก๊งถ่ายภาพนี่ก็เข้าไปกรูถ่าย ลั่นชัตเตอร์กันรัวๆๆ ซึ่งไม่ได้เกรงใจเณรสองรูปนั้นเลย อยู่ๆก็ไปรุมถ่ายเขา ความจริงจะถ่ายก็แอบๆถ่าย ก็ได้นะครับ ผมว่าแบบนี้มันดูไม่ค่อยมีมารยาทเท่าไหร่ เขาไม่ใช่แบบ เขาก็มาเที่ยวเหมือนเราๆ 

เรานั่งชมบรรยากาศยามเย็นได้ไม่นานก็ตกค่ำๆ จะมีถนนคนเดินอยู่ใกล้ๆกับวัดจองคำ(วัดดังและเก่าแก่) เราก็เลยลองไปหาอะไรกินกัน แล้วก็ไปถ่ายรูปวัดจองคำในตอนค่ำๆ
เพื่อนผมสองคนก็ไปตั้งกล้องถ่ายวัดจองคำกันข้างหน้า ส่วนผมก็เข้ามาเดินถ่ายในวัดและก็ดูความสวยงามของวัด 

 (ภาพถ่ายโดย Paramet Klinpayom วัดจองคำ)
ซึ่งข้างๆวัดก็จะมีตลาด ถนนคนเดินนะครับ สำหรับค่ำไม่มีที่เที่ยว ที่นี่แหละ เหมาะมากครับ เราก็ทานข้าวกันในตัวเมืองก่อนจะกลับที่พัก พักผ่อนกัน ก่อนจะไปเที่ยวกันอีกที่หนึ่ง (เป็นการเที่ยวที่จุใจมากครับ) แผนต่อไปของเรา ในตอนเช้าเราได้ขึ้นไปยังวัดพระธาตุดอยกองมูกันอีกครั้ง ในตอนเช้าขึ้นไปดูพระอาทิตย์ขึ้นสวยๆ 


จากนั้นเราก็วางแผนไปเที่ยวที่หมู่บ้านแห่งหนึ่ง ซึ่งตามประวัติเป็นหมู่บ้านอพยพ ออกห่างจากเมืองไปอีกประมาณ 20 กิโลไม่ไกลมาก หากเทียบกับปางอุ๋ง 
  
  
หมู่บ้านแห่งนี้ ก่อนที่พวกเราจะไปถึง ต้องเจอกับทางที่โหดนิดนึง ซึ่งดูแล้วจะเข้าไปยาก สำหรับท่านที่จะมาไม่แนะนำให้เอามอเตอร์ไซต์มาครับ พวกผมก็เริ่มค้านกันแล้วว่า การเข้ามาที่นี่ไม่ได้มีอะไรให้ศึกษามากเท่าไหร่ เพราะพวกผมเองก็ไม่ได้ทราบดีว่าหมู่บ้านนี้เป็นมายังไง จะเข้าไปคุยกับใครก็คุยไม่ได้เลยครับ ฉนั้นเราจึงต้องกลับ โดยเปลี่ยนเป็นขี่รถเล่นและถ่ายรูปกันแทนครับ

  
หลังจากนั้น...เราก็ได้เตรียมตัวเพื่อทำการกลับเชียงใหม่กัน โดยครั้งนี้เราจะกลับกันโดยรถตู้แทนรถเมล์เหมือนในขามา ขากลับครั้งนี้ เราจะกลับเส้นทาง แม่ฮ่องสอน ปาย เชียงใหม่ ซึ่งโค้งจะเยอะกว่าเส้นทางเดิมที่เรามา แต่รถตู้จะเร็วมากครับ เพียงแค่ 3-4 ชั่วโมง ก็ถึงเชียงใหม่แล้ว แต่รถจะพักที่ ปาย ก็ทำให้ผมได้เห็นปายครั้งแรกในชีวิต ปายค่อนข้างเจริญมาก ดูๆแล้วจะเจริญกว่าเมืองแม่ฮ่องสอนด้วยซ้ำไป 

  

เราได้ถึงเชียงใหม่และพักในตัวเมืองเชียงใหม่อีกหนึ่งคืน ในราคาห้องพักที่ไม่แพง พักผ่อนให้เต็มที่ก่อนจะตื่นเช้ามาขึ้นรถไฟกลับกรุงเทพกัน ในตอนเช้า รอบนี้รถออกเลทครับ จึงทำให้ถึงกรุงเทพช้า เราจะต้องใช้ชีวิตแบบเดิมบนรถไฟไปซักพัก และถึงกรุงเทพในช่วง 4 ทุ่มครับ


เป็นอันจบทริปนี้ ขอบคุณเพื่อนสองตัวที่พาไปเปิดหูเปิดตา อาจจะนำมาเขียนรีวิวกันช้าไปหน่อย ผิดถูกยังไงก็ขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ 

สรุปแล้ว ทริปนี้ทำให้ผมหลงรักจังหวัดแม่ฮ่องสอนมาก เป็นเมืองที่รถน้อยน่าอยู่ น่ารัก ล้อมรอบไปด้วยภูเขา มีหมอกให้ดูทุกฤดูเลย ที่นี่ทำให้ผมเกิดความคิดเล็กๆขึ้น หากเป็นไปได้ ผมจะย้ายมาอยู่ที่นี่เสียเลย สำหรับผมขอแนะนำทุกท่าน เบื่อหน่ายชีวิตประจำวัน เบื่อชีวิตมนุษย์เงินเดือน เบื่อควัน เบื่อกลิ่นทุนนิยมกรุงเทพ ในเมือง มาครับ มาเที่ยวแม่ฮ่องสอนเรา เราคนไทยเที่ยวไทย 

ครั้งหน้าผมจะไปผจญภัยที่ไหน ติดตามที่บล็อกของผมได้เลยนะครับ 

ขอบพระคุณทุกท่าน
Paramet Klinpayom

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม