ตัวคนเดียวกับการเดินทางสู่.....สังขละบุรี แดนวัฒนธรรมแห่งสายหมอก
สวัสดีครับ ยินดีต้อนรับสู่บล็อกของผมครับ เมื่อช่วงปีใหม่ที่ผ่านมารู้สึกจะเป็นปีแรกที่ตัวเองโตเต็มวัย หมายถึงสามารถตัดสินใจจะทำอะไรเองได้โดยไม่ต้องพึ่งใครแล้ว พูดง่ายๆคือโตแล้วน่ะครับ ช่วงธันวาผมใช้เวลาเคลียร์งานไฟนอลที่มากมายให้เสร็จสิ้นก่อนนับถอยหลังสู่ปีใหม่ เป็นปีแรกที่เวลาในช่วงนี้มีความสุขกว่าทุกปี ไม่ว่าเทศกาลไหนๆผมก็ต้องกลับบ้านมาหาพ่อแม่เป็นปกติอยู่แล้ว อยากใช้เวลาที่มีตอนนี้อยู่กับพ่อแม่ก่อนดีกว่าจะไปเตร่ที่ไหน พอใกล้สิ้นปีก็กลับบ้านอย่างรวดเร็ว ปีนี้บ้านผมรวมญาติกันเลี้ยงฉลองกันปกติ ฉลองกันจนปีใหม่เลยครับ
แต่ก่อนหน้านี้ระหว่างที่ไปถ่ายภาพม็อป กปปส ไปถ่ายกับเพื่อนอีกสองคนครับ ก็เราเป็นช่างภาพมีอะไรก็ต้องถ่ายเก็บไว้ เพื่อนๆคุยกันว่าจะไปเที่ยวนั่นไปเที่ยวนี่ ผมวางแผนไว้นานแล้วว่าอยากจะไปเที่ยวบ้าง อย่างน้อยไอ้เพื่อนสองคนนี้คงจะชวนเราไปไหนสักที่ สุดท้ายมีเพื่อนสนิทตกลงกันว่าจะไปเที่ยวเชียงใหม่ก่อนปีใหม่นี้ วางแผนกันอย่างดิบดี พอถึงเวลาจะไปเพื่อนก็มายกเลิกนัด แล้วก็หนีกลับบ้านมันอย่างรวดเร็ว คนที่ไม่เคยขึ้นภาคเหนืออย่างผมเลยถือว่าเจ็บจี๊ดมาก ใครๆเขาก็ได้ไปเที่ยวกันผมเองก็อยากสัมผัสอากาศหนาวๆบ้าง ก็ที่กทม ที่บ้านผมเองก็ไม่หนาวอ่ะ ร้อนทั้งวันเลย เอาล่ะ ไม่ได้แล้วแบบนี้ ชีวิตอยากได้อะไรก็ต้องไปเสาะหาเอง ผมก็เลยวางแผนจะไปเที่ยว อย่างแรกต้องเลือกจังหวัดกันก่อนไปมันคนเดียวเนี่ยแหละ มีอยู่ที่นึงครับที่ใครๆก็อยากไปคือ สังขละบุรี ประมาณ 630 กิโล ผมเลยเลือกที่นี่แล้วกันคงไม่ต้องไปถึงภาคเหนือ อีกอย่างจังหวัดกาญจนบุรีเราก็ไปทุกปี แต่ไม่เคยได้ไปเที่ยวเลยไปเยี่ยมปู่ เอาล่ะวางแผนโดยการดูรีวิว กะว่าไปไม่นานมากนัก พอปีใหม่ปั๊บ ผมก็ลาพ่อแม่กลับมายัง กทม ก่อนจะเดินทางต่อไปยัง กาญจนบุรี ด้วยรถตู้สาเหตุที่ไปตอนนี้เพราะ
ช่วงปีใหม่คนคงจะเที่ยวกันอยู่นะครับ ตอนผมไปคงจะเป็นช่วงคนกำลังจะกลับกันแล้ว ผมถึงจังหวัดกาญจนบุรีด้วยระยะเวลา 2 ชม. และต่อรถตู้ซึ่งวิ่งจากขนส่งกาญจนบุรี ไปทองผาภูมิ สังขละบุรี และด่านเจดีย์สามองค์ ซึ่งทราบมาว่าต้องพกบัตรประชาชนไปด้วยที่นั่นมีด่านครับ ผมลงที่สังขละบุรี ซื้อตั๋วในราคา 170 บาท และนั่งรถด้วยระยะทาง 200 กิโลเมตร ให้ตายสิปวดก้นจริงๆครับ กว่าจะถึงประมาณ 2-3 ชมน่ะครับ เมื่อถึงทองผาภูมิและต่อไปยังสังขละบุรีทางก็เริ่มเป็นเส้นทางเซียนขึ้นๆลงๆเป็นเนินเขาถ้าขับรถมาเองนี่แย่เลย จนถึงสังขละบุรีที่รถจอดคือตัวตลาดที่มีเซเว่น สังขละบุรีมีเซเว่นนนนนนน ไกลเมืองมากๆ บ้านผมใกล้กทม 50 กิโล เซเว่นยังไม่มีเลยครับ ฮ่าๆ ผมเดินไปอีกนิดนั่งมอเตอร์ไซต์เข้าไปที่สะพานมอญที่ที่เค้าไปเที่ยวกัน แต่แย่หน่อยครับสะพานมอญหัก มันเลยมีสะพานไม้ไผ่สำรองไว้เดิน เดินทีดังเอี๊ยดอ๊าดๆ เสียววู๊บเลย ผมจองห้องพักในราคาแพงครับอยากนอนแพร คืนละ 700 บาท ไม่อยากพักบนบกน่ะครับ ผมเก็บของที่พักเสร็จ อากาศดีน่ะครับตอน ห้าโมงเย็น ผมแบกขาตั้งกล้องจาก กทม มาซึ่งขาตั้งกล้องที่นำมาก็หวังเพื่อใช้ลากสปีดถ่ายวิวสวยๆน่ะครับ ขาตั้งของผมมันก็สภาพแบบคนจนๆใช้ หนักและราคาถูก แบกมาได้จนถึงที่นี่ แต่ผ่างงงงง! ลืมเอาแพลทมา ที่ต้องใช้ต่อระหว่างกล้องกับขาตั้งกล้อง เอาสิ จะมีอะไรแย่กว่านี้อีกเอาเถอะผมเลยใช้วิถีวางแผนสะพานเอา ฮ่าๆ รอจนพระอาทิตย์ตกดินครับ ไปทานข้าวตรงหัวสะพาน ให้น้อยมากครับรู้สึกไม่อิ่มเพราะใช้พลังงานเดินทางมาไกลมาก ต้องเข้าที่พักแล้วครับตอนกลางคืนน่ากลัวเหมือนกัน เข้าที่พักมา เจ้าของที่พักเขาทำแกงเขียวหวานแล้วตักให้เราจานนึงพร้อมน้ำเสิร์ฟถึงห้อง เป็นน้ำใจของคนเมืองกาญจนบุรีน่ะครับ กำลังหิวเลยล่ะ รสชาติอร่อยมากครับ ผมอาบน้ำนอนและรีบบบนอนเพื่อตื่นมารอดูหมอกในตอนเช้า หลายๆคนที่นั่นก็บอกว่าหมอกตอนเช้ามันเยอะมาก ถ่ายอะไรก็มองไม่เห็น สำหรับผม ผมว่าหมอกเยอะๆน่าจะสวยนะ บรรยากาศน่าจะดี ฝืนหลับไปจนตื่นมาตอนตี5 เห็นคลื่นหมอกพัดบนผิวน้ำ ผมนอนแพร่จะสังเกตเห็นชัดมาก
นี่คือภาพที่ถ่าย ณ ตอนเวลานั้น
ตอนตี 5 กว่าๆผมเดินไปที่หัวสะพานเพื่อจะไปกินไข่ลวกตอนเช้า นั่งรอแสงพระอาทิตย์ขึ้น เห็นคนรุมๆอะไรกัน พี่เย็นเป็นคนดังของสังขละมากแกเป็นคนมอญครับ ใครมาเที่ยวต้องรู้จักแก ชวนผมทำบุญผมก็เลยทำด้วย ตักบาตรตอนเช้า ผมนั่งรถดูบรรยากาศในตอนเช้าเรื่อยๆ จนพระอาทิตย์จะขึ้น ผมเลยเดินข้ามไปฝั่งมอญ เดินดูอารยธรรมของคนแถวนั้นเขาอยู่กันน่ารักดีนะครับ มีก่อกองไฟแก้หนาว ควันออกปากด้วยล่ะ ให้ตายสิล่าสุดที่ผมจำได้ว่าจังหวัดฉะเชิงเทราบ้านผมเองเนี่ย ควันออกปากก็เมื่อประมาณ 6-7 ปีที่แล้วโน่นนนน หนาวมันก็ไม่หนาวแล้วเดี๋ยวนี้มีแต่ร้อน อารมณ์ผมเหมือนเด็กเห่ออะไรสักอย่าง วุ่นอยู่กับหมอกควันที่ออกจากปาก ฮ่าๆ พอเดินมาอีกฝั่ง มองไปทางซ้ายจะมีชาวบ้านที่ใช้ชีวิตอยู่รอบๆแม่น้ำ มีเรือ มีตอไม้ผุด สวยมากครับ มองไปสุดขอบแม่น้ำเป็นขาวๆ ขาวไปทั้งภาพเลยครับ มันดูนิ่งสงบ ภาพแบบนี้ผมเกิดมายังไม่เคยได้เห็นมาก่อนเลย ที่นี่เมืองไทยหรือนี่
สำหรับมุมมองที่ผมมีต่อ สังขละบุรีอาจจะไม่เหมือนกับหลายๆคนที่มาเที่ยว ความประทับใจมันเกิดขึ้นได้หลายรูปแบบ แล้วแต่เราจะรับมันมา ถึงแม้ผมจะเดินทางมาคนเดียวไม่เป็นไรครับ เที่ยวคนเดียวก็มีความสุขได้ครับ ผมนั่งแช่อยู่ตรงนี้ประมาณสองชั่วโมงได้ ก่อนจะกลับไปเช็คเอ้าท์และออกจากที่พัก ป้าเจ้าของก็บอกว่ากลับมาอีกนะ ผมจะกลับไปอีกแน่นอนครับ ตอนกลับผมเดินกลับมาที่มุมเดิมครับมายืนดูและลาจากสังขละบุรีอีกครั้งก่อนที่พระอาทิตย์จะสาดแสงเบาๆไปที่อีกฝั่ง
ลาก่อนนะครับ สังขละบุรี แล้วเจอกันใหม่โอกาสหน้า......
ขอบคุณที่ติดตามครับ
แต่ก่อนหน้านี้ระหว่างที่ไปถ่ายภาพม็อป กปปส ไปถ่ายกับเพื่อนอีกสองคนครับ ก็เราเป็นช่างภาพมีอะไรก็ต้องถ่ายเก็บไว้ เพื่อนๆคุยกันว่าจะไปเที่ยวนั่นไปเที่ยวนี่ ผมวางแผนไว้นานแล้วว่าอยากจะไปเที่ยวบ้าง อย่างน้อยไอ้เพื่อนสองคนนี้คงจะชวนเราไปไหนสักที่ สุดท้ายมีเพื่อนสนิทตกลงกันว่าจะไปเที่ยวเชียงใหม่ก่อนปีใหม่นี้ วางแผนกันอย่างดิบดี พอถึงเวลาจะไปเพื่อนก็มายกเลิกนัด แล้วก็หนีกลับบ้านมันอย่างรวดเร็ว คนที่ไม่เคยขึ้นภาคเหนืออย่างผมเลยถือว่าเจ็บจี๊ดมาก ใครๆเขาก็ได้ไปเที่ยวกันผมเองก็อยากสัมผัสอากาศหนาวๆบ้าง ก็ที่กทม ที่บ้านผมเองก็ไม่หนาวอ่ะ ร้อนทั้งวันเลย เอาล่ะ ไม่ได้แล้วแบบนี้ ชีวิตอยากได้อะไรก็ต้องไปเสาะหาเอง ผมก็เลยวางแผนจะไปเที่ยว อย่างแรกต้องเลือกจังหวัดกันก่อนไปมันคนเดียวเนี่ยแหละ มีอยู่ที่นึงครับที่ใครๆก็อยากไปคือ สังขละบุรี ประมาณ 630 กิโล ผมเลยเลือกที่นี่แล้วกันคงไม่ต้องไปถึงภาคเหนือ อีกอย่างจังหวัดกาญจนบุรีเราก็ไปทุกปี แต่ไม่เคยได้ไปเที่ยวเลยไปเยี่ยมปู่ เอาล่ะวางแผนโดยการดูรีวิว กะว่าไปไม่นานมากนัก พอปีใหม่ปั๊บ ผมก็ลาพ่อแม่กลับมายัง กทม ก่อนจะเดินทางต่อไปยัง กาญจนบุรี ด้วยรถตู้สาเหตุที่ไปตอนนี้เพราะ
ช่วงปีใหม่คนคงจะเที่ยวกันอยู่นะครับ ตอนผมไปคงจะเป็นช่วงคนกำลังจะกลับกันแล้ว ผมถึงจังหวัดกาญจนบุรีด้วยระยะเวลา 2 ชม. และต่อรถตู้ซึ่งวิ่งจากขนส่งกาญจนบุรี ไปทองผาภูมิ สังขละบุรี และด่านเจดีย์สามองค์ ซึ่งทราบมาว่าต้องพกบัตรประชาชนไปด้วยที่นั่นมีด่านครับ ผมลงที่สังขละบุรี ซื้อตั๋วในราคา 170 บาท และนั่งรถด้วยระยะทาง 200 กิโลเมตร ให้ตายสิปวดก้นจริงๆครับ กว่าจะถึงประมาณ 2-3 ชมน่ะครับ เมื่อถึงทองผาภูมิและต่อไปยังสังขละบุรีทางก็เริ่มเป็นเส้นทางเซียนขึ้นๆลงๆเป็นเนินเขาถ้าขับรถมาเองนี่แย่เลย จนถึงสังขละบุรีที่รถจอดคือตัวตลาดที่มีเซเว่น สังขละบุรีมีเซเว่นนนนนนน ไกลเมืองมากๆ บ้านผมใกล้กทม 50 กิโล เซเว่นยังไม่มีเลยครับ ฮ่าๆ ผมเดินไปอีกนิดนั่งมอเตอร์ไซต์เข้าไปที่สะพานมอญที่ที่เค้าไปเที่ยวกัน แต่แย่หน่อยครับสะพานมอญหัก มันเลยมีสะพานไม้ไผ่สำรองไว้เดิน เดินทีดังเอี๊ยดอ๊าดๆ เสียววู๊บเลย ผมจองห้องพักในราคาแพงครับอยากนอนแพร คืนละ 700 บาท ไม่อยากพักบนบกน่ะครับ ผมเก็บของที่พักเสร็จ อากาศดีน่ะครับตอน ห้าโมงเย็น ผมแบกขาตั้งกล้องจาก กทม มาซึ่งขาตั้งกล้องที่นำมาก็หวังเพื่อใช้ลากสปีดถ่ายวิวสวยๆน่ะครับ ขาตั้งของผมมันก็สภาพแบบคนจนๆใช้ หนักและราคาถูก แบกมาได้จนถึงที่นี่ แต่ผ่างงงงง! ลืมเอาแพลทมา ที่ต้องใช้ต่อระหว่างกล้องกับขาตั้งกล้อง เอาสิ จะมีอะไรแย่กว่านี้อีกเอาเถอะผมเลยใช้วิถีวางแผนสะพานเอา ฮ่าๆ รอจนพระอาทิตย์ตกดินครับ ไปทานข้าวตรงหัวสะพาน ให้น้อยมากครับรู้สึกไม่อิ่มเพราะใช้พลังงานเดินทางมาไกลมาก ต้องเข้าที่พักแล้วครับตอนกลางคืนน่ากลัวเหมือนกัน เข้าที่พักมา เจ้าของที่พักเขาทำแกงเขียวหวานแล้วตักให้เราจานนึงพร้อมน้ำเสิร์ฟถึงห้อง เป็นน้ำใจของคนเมืองกาญจนบุรีน่ะครับ กำลังหิวเลยล่ะ รสชาติอร่อยมากครับ ผมอาบน้ำนอนและรีบบบนอนเพื่อตื่นมารอดูหมอกในตอนเช้า หลายๆคนที่นั่นก็บอกว่าหมอกตอนเช้ามันเยอะมาก ถ่ายอะไรก็มองไม่เห็น สำหรับผม ผมว่าหมอกเยอะๆน่าจะสวยนะ บรรยากาศน่าจะดี ฝืนหลับไปจนตื่นมาตอนตี5 เห็นคลื่นหมอกพัดบนผิวน้ำ ผมนอนแพร่จะสังเกตเห็นชัดมาก
ตอนตี 5 กว่าๆผมเดินไปที่หัวสะพานเพื่อจะไปกินไข่ลวกตอนเช้า นั่งรอแสงพระอาทิตย์ขึ้น เห็นคนรุมๆอะไรกัน พี่เย็นเป็นคนดังของสังขละมากแกเป็นคนมอญครับ ใครมาเที่ยวต้องรู้จักแก ชวนผมทำบุญผมก็เลยทำด้วย ตักบาตรตอนเช้า ผมนั่งรถดูบรรยากาศในตอนเช้าเรื่อยๆ จนพระอาทิตย์จะขึ้น ผมเลยเดินข้ามไปฝั่งมอญ เดินดูอารยธรรมของคนแถวนั้นเขาอยู่กันน่ารักดีนะครับ มีก่อกองไฟแก้หนาว ควันออกปากด้วยล่ะ ให้ตายสิล่าสุดที่ผมจำได้ว่าจังหวัดฉะเชิงเทราบ้านผมเองเนี่ย ควันออกปากก็เมื่อประมาณ 6-7 ปีที่แล้วโน่นนนน หนาวมันก็ไม่หนาวแล้วเดี๋ยวนี้มีแต่ร้อน อารมณ์ผมเหมือนเด็กเห่ออะไรสักอย่าง วุ่นอยู่กับหมอกควันที่ออกจากปาก ฮ่าๆ พอเดินมาอีกฝั่ง มองไปทางซ้ายจะมีชาวบ้านที่ใช้ชีวิตอยู่รอบๆแม่น้ำ มีเรือ มีตอไม้ผุด สวยมากครับ มองไปสุดขอบแม่น้ำเป็นขาวๆ ขาวไปทั้งภาพเลยครับ มันดูนิ่งสงบ ภาพแบบนี้ผมเกิดมายังไม่เคยได้เห็นมาก่อนเลย ที่นี่เมืองไทยหรือนี่
อากาศแบบนี้มันช่าง ......
เอาล่ะผมเดินมามากพอแล้ว ตัดสินใจอยู่ว่าจะล่องเรือไปดูวัดต่อไหม ผมคิดว่าผมมาสูญอากาศแค่นี้ก็พอแล้ว คนคงจะเยอะมากที่นั่น อ่ะกลับ เดินกลับไปยังฝั่งที่พักครับ มันมีทางเดินต่อไปอีกก็สงสัยว่ามันไปโผล่ที่ไหนเดินไปเรื่อยๆอ้าว มันเป็นศาลาที่จอดเรือน่ะครับ จริงๆก็ไม่มีเรือจอดอยู่เป็นที่นั่งดูวิวเห็นสะพานมอญ เห็นวัด เห็นทุกอย่างเลย ณ เวลาเจ็ดโมงเช้าแดดไม่ออกครับ เพราะหมอกบัง มีภูเขาสองลูกและมีแสงสอดออกมาเบาๆ โอ้โหยบรรยากาศสุดยอดจริงๆครับ
สำหรับมุมมองที่ผมมีต่อ สังขละบุรีอาจจะไม่เหมือนกับหลายๆคนที่มาเที่ยว ความประทับใจมันเกิดขึ้นได้หลายรูปแบบ แล้วแต่เราจะรับมันมา ถึงแม้ผมจะเดินทางมาคนเดียวไม่เป็นไรครับ เที่ยวคนเดียวก็มีความสุขได้ครับ ผมนั่งแช่อยู่ตรงนี้ประมาณสองชั่วโมงได้ ก่อนจะกลับไปเช็คเอ้าท์และออกจากที่พัก ป้าเจ้าของก็บอกว่ากลับมาอีกนะ ผมจะกลับไปอีกแน่นอนครับ ตอนกลับผมเดินกลับมาที่มุมเดิมครับมายืนดูและลาจากสังขละบุรีอีกครั้งก่อนที่พระอาทิตย์จะสาดแสงเบาๆไปที่อีกฝั่ง
ลาก่อนนะครับ สังขละบุรี แล้วเจอกันใหม่โอกาสหน้า......
ขอบคุณที่ติดตามครับ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น